เทรน endurance อย่างนักวิ่งแนวหน้า

ความรู้ใหม่เหมือนกันค่ะ มาแบ่งกันอ่าน

วิธีนึงที่เค้าใช้เทรน endurance ของนักวิ่ง นอกเหนือไปจากวิ่งและเวท แล้ว มีอีกวิธีนึงที่มาแรงและน่าสนใจพอๆกัน

เข้าใจว่าเค้าใช้ในการฝึกทหารที่อังกฤษมานานแล้ว แต่นักกีฬาทั้ง ไตร ทั้ง ironman ทั้งนักวิ่งมาราธอนพึ่งเอามาใช้กัน ไม่กี่ปีมานี่เอง คือการเทรนสมองและจิตใจร่วมไปด้วย

จริงๆเคยอ่านเจอมานานแล้ว แต่ไม่กล้าเขียนจนกว่าจะมีข้อพิสูจน์วิจัยที่พอฟังได้ ล่าสุด กระทรวงกลาโหม อังกฤษ (UK’s Ministry of Defence) ให้เงินสนับสนุนการวิจัย และทำงานวิจัยเรื่องนี้ออกมา เลยมาเขียนให้อ่านดูนะคะ

หลักการมีอยู่ว่า การเทรนแบบนี้เป็นเสมือนการล่อหลอกสมองให้อยู่ในสภาวะที่เรียกว่า under stress ระหว่างที่ออกกำลังกายไปด้วย เกือบๆจะตรงกันข้ามกับเวลาเราไปงานวิ่ง เราจะมีแนวโน้มที่จะวิ่งเร็วกว่าปกติ ต้องคุมเพสคุมอะไรไป เพราะอาจจะเจ็บได้ตอนหลัง แต่นี่เป็นแบบสายโหด ตรงกันข้าม

คือเทรนโหดกว่าแข่ง ทั้งกายใจ เค้าเรียกส่วนนี้ว่าเป็น Mental component of training
ใช้ visualisation (การมองเห็น) ทำให้สมองต้องตื่นตัวอยู่เสมอ นึกภาพเวลาเราดูหนังสงครามนะคะ

งานวิจัยของ MOD นี้ให้ทหารมาเทรนเหมือนเดิมทุกอย่างเลย ขี่จักรยานปั่นแบบ Spin bike ระหว่างนั้นให้ดูจอคอมพิวเตอร์เพื่อมอนิเตอร์ดูตัวหนังสือที่ปรากฏขึ้นบนจอ เมื่อคำที่ต้องการปรากฎขึ้น ทหารก็ต้องกดปุ่ม ซ้อมอย่างนี้ตลอด 12 อาทิตย์ (มีทหารอีกกลุ่มปั่นเฉยๆ) นะคะ

ปรากฎว่า พอจบ 12อาทิตย์ ทหารกลุ่มที่ต้องปั่นไปด้วย คิดไปด้วย มีค่า VO2Max เพิ่มขึ้น 126% ในขณะที่กลุ่มที่เทรนเฉยๆเท่ากัน มี VO2Max เพิ่มขึ้น 42% จากเดิมจากการเทรนทางร่างกายอย่างเดียวล้วนๆเลย

นี่เพราะว่าทหารที่เทรนด้วยวิธี เทรนสมองแบบ “Brain Endurance Training” จะถูกอยู่ภายใต้ความกดดันทั้งกายใจ ดังนั้นเมื่อตัดความกดดันทางสมอง ออกไป ก็จะมองการออกกำลังกายง่ายขึ้นมาก ปั่นกันตัวปลิว ชิวมาก

อ้างชื่อนิดนึงว่าการทำการทดลองนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Dr. Samuele Marcora เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความเหนื่อยล้า (fatigue)

หมอบอกว่าการเทรนแบบนี้ทำให้สมองส่วนที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex (ACC)เป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการให้ความสนใจต่อสิ่งเร้า เข้มแข็งขึ้นต่อความยากลำบาก เพิ่มความอดทนทางจิตใจ

พอตัดความยากลำบากออกไป (หล้งจากเทรนมาแล้ว) โลกของนักกีฬาก็จะสวยขึ้นมาทันที ประสิทธิภาพในการออกกำลังกายและ endurance (ความอดทน) ของเราก็จะดีขึ้นมาก ทุกอย่างดูง่ายไปหมด

นักกีฬาที่เทรนไปแข่ง ironman คนหนึ่ง(คนอังกฤษนะคะ) ก็กำลังใช้วิธีนึงคล้ายๆกันในการซ้อม คือจะซ้อมขี่จักยานบนเทรนเนอร์ ในห้องใต้ดิน ไม่มีแรงบันดาลใจ หรือเครื่องเร้าใจ (stimulation) อะไรทั้งสิ้น หน้าต่างก็อยู่เหนือหัว

หล้กการคือถ้าเธอทนกับความเบื่อหน่ายจ้องผนังเปล่าๆนั้นได้ แล้ว performance ไม่ตก นั่นคือเธอต้องตื่นตัวกระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลาได้ โฟกัสอยู่กับตัวเอง เทคนิค การหายใจ ความเจ็บปวด ทุกอย่าง

นี่แค่ส่วนหนึ่งในการเทรนจิตใจนะคะ การเทรนข้างนอกต้องมีด้วยเพื่อให้ร่างกายคุ้นต่อสภาวะภายนอกและลมฝนแดดอะไรๆต่างๆ

การเทรนแบบนี้บางทีก็ให้นักวิ่ง วิ่งบนลู่และฟัง audioเรื่องหนังสือวิชาการอะไรไป ที่ให้เทรนบนลู่เพราะแรงจะได้ไม่ตก มีความเร็กำหนดไว้แล้ว ต้องวิ่งให้ได้ทัน และในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจกับสาระความรู้ที่ฟังอยู่ไปด้วย โอ๊ยเครียด!

คือถ้าเราเทรนไปเรื่อยๆ มันจะมีช่วงที่เราเหม่อๆ แรงผ่อนกันบ้าง แวะคุย แวะอะไรไป เราจะไม่ ‘อยู่’กับตัวเราจริงๆ เรียกว่าไม่มีสมาธิมากพอ ที่จะโฟกัสกับร่างกายเราได้ตลอดการแข่งขัน

เวลาเจอนักกีฬาที่เป็นนักกีฬาชั้นนำ สิ่งหนึ่งที่พวกเค้ามีคล้ายกันมากเลยคือ การมองโลกในทางที่ดี (positive thinking) เพราะว่าเค้าได้รับการเทรนมาหนักมากพอแล้ว วันแข่งเนี่ยแทบจะไม่มีผลกระทบในเรื่องสภาวะจิตใจเลย ความสามารถล้วนๆ หน้าจะนิ่งมาก

คนพวกนี้ถ้าไปถามเค้าว่า คิดว่าผลจะเป็นอย่างไร จะวิ่งชนะ ได้ตำแหน่งที่เท่าไหร่นี่จะพูดกันไม่รู้เรื่องเลย งง ตอบไม่ถูก บางคนโดนหาว่าพูดไม่รู้เรื่อง

แต่เปล่าเลย สิ่งที่เค้าโฟกัสคือ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ‘now’ เค้าไม่พูดถึงเส้นชัยเพราะยังไปไม่ถึง ถ้าคิดถึงฝันถึงเส้นชัย จะเท่ากับเอาตัวเค้าลอยออกไปจากตัวเค้าใน ‘ตอนนี้’ ไม่ฝัน ไม่สนด้วยว่าเข้าคนที่เท่าไหร่ ถ้าดูดีๆบางทีนักวิ่งเหล่านี้เข้าเส้นชัยแล้วจะดูมึนๆงงๆว่าตกลงเค้าเข้าคนที่เท่าไหร่กันแน่ (ถ้าไม่ได้มีคู่แข่งที่คั่วกันมาชัดเจนนะคะ)

และถ้าเจ็บ เค้าจะถามตัวเอง ปรับตัวเอง ปรับท่าวิ่ง ทำทุกอย่าง คิดหาวิธี ที่สำคัญคือจะ ตัดอารมณ์ออกไป แล้วคิดแบบหลักการ คือ เจ็บตรงไหน แค่ไหน จะตายมั้ย ต่อได้รึเปล่า มีอะไรที่พอทำได้ที่จะผ่อนความเจ็บปวดนี้ไปได้ คือ ‘drop emotion and think objective’ ถ้ามีอารมณ์ มีท้อ นี่คือปล่อยให้เข้าหัวแล้ว

ความเจ็บปวดจะเหมือนเป็นของนอกกาย สมองเค้าจะเป็นตัวคิดหาช่องทาง การที่โฟกัสในตัวเองทำให้นักวิ่งเหล่านี้ รู้สึกความเจ็บปวดได้ตั้งแต่มันยังไม่มากมายเลย แต่ความเจ็บเหล่านี้จะเป็นแค่ทางร่างกายนะคะ อย่างที่บอก ไม่เข้ามาในห้วเค้าเลย เค้าบอกว่า เข้าหัวเมื่อไหร่ ก็จะเกิดการสงสัยตัวเองขึ้นมาทันที สงสัยว่าจะจบรึเปล่า สงสัยว่าจะวิ่งถึงมั๊ย เหล่านี้เป็นต้น คือจิตต้องแข็ง มุ่งมั่น และไม่สงสัยตัวเอง

ใส่อย่างเดียวในวันแข่ง

“When the going gets tough, the tough get going”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *