เมื่อกล้ามเนื้อ 2 ข้างไม่สมดุลย์ (Muscle imbalance)

เรื่องนี้ยาก เพราะว่าเกี่ยวพันธ์กันไปหมดอีรุงตุงนัง แต่จะเขียนให้เข้าใจง่ายนี่ยากกว่าค่ะ ที่ต้องการให้เข้าใจให้ลึกซึ้ง ก็เพราะว่าจะได้เอาไปใช้กันได้จริง คนทุกคนจะมีอาการของความไม่สมดุลย์ของกล้ามเนื้อทั้ง 2 ข้างซ้าย-ขวาอยู่ จะเป็นมากจนกระทบการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือไม่ แค่ไหนเท่านั้นเอง
.
เคยเขียนเรื่องนี้ไปครั้งนึงแล้ว มีท่าออกกำลังกายให้เสร็จ ลองไปอ่านดูก่อนนะคะ

https://www.facebook.com/Befiteatwell/posts/922516547860932

(ถ้ากดลิ้งค์ไม่ไป ลอง copy แล้ว paste ไปใน Google นะคะ) แล้วมาอ่านต่อข้างล่างนี้นะคะ

วันนี้มีข้อมูลที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาเพิ่ม จากเดิมที่เคยเขียนไปว่า ทุกคนมีข้างที่ถนัดที่จะใช้ และการที่กล้ามเนื้อไม่เท่ากันนั้น เกิดจากสาเหตุที่ว่าเราถนัดข้างใดข้างหนึ่งมากกว่า หรือการที่เราเคยบาดเจ็บในอวัยวะข้างใดข้างหนึ่งจนเราพยายามเลี่ยงที่จะใช้อวัยวะข้างนั้น แล้วไปเอากล้ามเนื้ออีกข้างนึงมาทำงานแทนจนติด จนกล้ามที่ถูกใช้งานมากตึง ส่วนกล้ามข้างที่ใช้งานน้อยก็จะหย่อนและอ่อนแรงกว่า

จะสังเกตได้ชัดเวลาออกกำลังกาย เช่น เวลาเราใช้ดัมเบล แขนข้างนึงอาจจะสู้แรงอีกข้างไม่ได้ (แต่สิ่งเหล่านี้ เราจะไม่เห็นชัดถ้าเราออกกำลังกายโดยใช้บาร์เบล เพราะแขนข้างที่แข็งแรงจะเป็นข้างที่ออกแรงยกเวทขึ้นมา ทำงานหนักอยู่ฝ่ายเดียว)
.
Muscle imbalance นี้เกิดขึ้นได้กับอวัยวะทุกส่วน ตั้งแต่สะโพก 2 ข้างที่ไม่เท่ากันหรือเบี้ยว ขาข้างนึงไม่มีแรงเท่าอีกข้างนึง อาจพาลทำให้ขาข้างนึงสั้นกว่าอีกข้างนึงได้ หรือกล้ามข้างนึงเล็กกว่าอีกข้างนึง

ร่างกายเราจะมีกล้ามเนื้อที่เกาะอยู่กับข้อต่อ (joint) ทั้ง 2 ข้าง ทำงานร่วมกันเป็นคู่ๆเป็นควบคุมการทำงานหรือทิศทางการเคลื่อนไหวของข้อต่อ คล้ายๆกับมือจับ (handles) ของจักรยาน 2 ข้าง เราจะจับแค่ข้างเดียวก็ได้เวลาขี่จักรยาน แต่ตัวจักรยานก็จะส่ายไปมา ถ้าเราจับทั้ง 2 ข้าง แรงจาก 2 ข้างจะทำให้เราควบคุมทิศทางจักรยานได้ดีกว่า
.
ถ้ากล้ามเนื้อข้างใดแข็งแรงกว่า เราก็จะเกิดอาการของ muscle imbalance เพราะเราก็จะใช้แต่ข้างที่แข็งแรงกว่าเพราะสะดวกดี รู้งาน เป็นงาน ข้างนั้นก็จะแข็งแรงขึ้นๆ แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้กล้ามเนื้อข้างนั้นสั้นขึ้น ตึงขึ้น ต่างกับอีกข้างนึงที่อ่อนแอกว่า ก็จะยืดหย่อนยาน
.
เมิ่อเกิดอย่างนี้ขึ้นจะมีการดึงกระดูกส่วนต่างๆของร่างกายให้เป็นไปตามรูปแบบของกล้ามเนื้อข้างนั้น ส่วนนั้น ในที่สุดกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก ไหล่ คอ ขา ก็จะเปลี่ยนเบี้ยวไปตามลักษณะกล้ามเนื้อ
.
เหมือนจักรยานอีกนั่นแหละค่ะ ถ้ามือข้างนึงของเราสั้นกว่าอีกข้างนึง เราก็ต้องปรับท่าขี่ จะเอียงตัวจะอะไรก็ตามเพื่อที่ว่าเราจะได้จับ handles ได้ทั้งสองข้างและขี่จักรยานไปได้เป็นเส้นตรง ไม่เฉไปเฉมา ก็จะเมื่อย

เพราะว่า ร่างกายเราจะจัดหน้าที่ความสำคัญของร่างกายจาก การอยู่รอดเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดลงไปไงคะ
.
การสร้างกล้ามนี้แทบจะเรียกว่าเป็นความสำคัญขั้นต่ำสุดเลย หัวเรานี่สำคัญสุด เพราะมีสมอง ตาไว้ดู หูฟัง ฟันไว้เคี้ยว จมูกไว้หายใจ ดังนั้นทุกอย่างที่ต่ำไปกว่าคอ จะค่อยๆปรับตัวตามทิศทางที่หัวเราเคลื่อนไป
.
สิ่งเหล่านี้เกิดมาก่อนพวกอาการ office syndrome ที่เราพูดถึงกันอีกค่ะ office syndrome นี่ทำให้เราอาการแย่หนักไปกว่าเดิมเท่านั้นเอง อะไรที่ไม่ดีอยู่แล้ว หรือปัญหาที่เคยเบลอๆ ก็จะชัดขึ้น เท่านั้นเอง
.
ยกตัวอย่างเช่น ตาเรา จะต้องรักษาระดับที่เรียกว่า horizontal gaze มองเห็นเป็นแนวราบ หรือ zero point of reference เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้คอลงมา ต้องทำทุกอย่างให้ตาเรามองได้ในระดับนั้น ตั้งแต่เอียงไหล่ ยื่นคอ อะไรก็ได้ ถ้าหลังเรางอ เราก็ต้องยื่นคอตั้งออกไปเพื่อให้เรารักษาระดับ zero point นั้นเอาไว้ให้ได้

ไม่ว่าปัญหาจะมาจากหลัง จากหัว จากสะโพก หรืออะไรก็ตาม ตาเราต้องรักษาระดับการมองให้ได้ ดังนั้น postural หรือ muscle imbalance จึงเกิดขึ้น ได้ตั้งแต่เด็ก หรือช่วงไหนที่บาดเจ็บ เกิดกับใครก็ได้ ไม่ใช่เกิดจาก office syndrome อย่างเดียว .

หรืออาจจะเกิดจากระบบทางเดินหายใจที่ไม่ดี หูข้างนึงตึงกว่าอีกข้างนึง ทำให้เราต้องคอยเอียงไหล่ไปข้างหน้า 1 ข้างเพื่อที่จะให้ได้ยินชัดขึ้น พอทำบ่อยๆเข้าก็เกิดความไม่สมดุลย์ได้เหมือนกัน
.
ทุกอย่างนี้เราทำไปโดยอัตโนมัติเพื่อที่ให้ การมองเห็น ได้ยิน เคี้ยว หายใจ เป็นไปได้อย่างคล่องตัวที่สุด เพื่อความอยู่รอด

ความถนัดที่เกิดขึ้นทีละนิดจากเหตุผลของการอยู่รอด (survival) นี้ถ้าไม่แก้ที่สาเหตุก็จะสะสม จนเกิดเป็นนิสัย จนทำให้เกิดกล้ามเนื้อสองข้างไม่เท่ากัน ไม่ใช่แค่กล้ามเนื้อนะคะ แต่ความสมดุลย์ของร่างกายคลาดเคลื่อนไปหมดตั้งแต่ คอ ไหล่ เอว หลังล่าง สะโพก ต้นขา เข่า ข้อเท้า เท้า ข้อต่อทุกส่วนของเราเชื่อมโยงกันหมดค่ะ เป็นลูกโซ่ กล้ามเนื้อก็เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งประสาทสั่งงานให้ข้างที่ชินทำงานโดยอัตโนมัติ เอาแรงจากข้างที่ไม่ใช้มาใช้ซะ

อธิบายก่อนแป๊บนึงคร่าวๆว่า สมองเราสั่งการ ลงมาตาม กระดูกสันหลัง ไปปลายประสาท ไปยังกล้ามเนื้อ และจากกล้ามเนื้อส่งสัญญาณความรู้สึกกลับขึ้นไปสู่สมอง ดังนั้นเราถึงได้กะถูกไงคะว่าจะยกของชิ้นนี้ เราต้องใช้แรงแค่ไหน ไม่ใช่ส่งแรงมั่วเต็มร้อยในการยกตั้งแต่ฟองน้ำจนถึงเก้าอี้ เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างคร่าวๆให้พอเห็นภาพว่า เราส่งสัญญาณกลับไปกลับมา สื่อสารกับสมองตลอดเวลา ข้างไหนใช้แรงเยอะ สมองก็จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อข้างนั้นออกแรงได้เยอะกว่า ประสาทข้างนั้นก็จะถูกฝึกให้ทำงานได้กระฉับกระเฉงกว่า ส่วนอีกข้างก็จะช้าลง น้อยลง

กระดูกสันหลังตั้งแต่ข้อบนจนถึงข้อสุดท้ายจะสื่อสารกันตลอด กระดูก C1 ข้อแรก (ตามรูป) จะเป็นเหมือนประตูจากสมองมายังกระดูกสันหลังช่วงตัว ส่วน L5 เป็นประตูด้านล่างของกระดูกสันหลังที่รอรับส่งสัญญาณกับ C1 ว่าจะเอายังไง ให้รับใช้อย่างไรได้บ้าง เช่น ยืนบิดสะโพกเพื่อให้คอตั้งตรงเพราะว่า อย่างที่บอก ทุกอย่างที่อยู่ใต้คอ จะค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามทิศทางที่หัวเราพาไป
.
นักวิทยาศาสตร์จะเรียกความสัมพันธ์ของกระดูกสันหลังส่วนบนกับส่วนล่างนี้ว่า “Lovett-Brother”
.
“Lovett-Brother” เป็นความสัมพันธ์ที่
ช่วยให้ตัวเรายืนหยัดอยู่ได้ สื่อสารกันเป็นคู่ๆไป ข้อบน กับข้อล่าง กระดูกสันหลังเราจะบิดเบี้ยวอย่างไรนั้น บางครั้งไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอก แต่อาจจะอยู่ที่ปัจจัยภายใน หรืออวัยวะภายในที่ผิดปกติ ทำให้เราต้องเอียงตัว เอนตัว งอตัว เพื่อความอยู่รอด

ดังนั้น ถ้ามีปัญหากล้ามเนื้อไม่เท่ากันนี้ ลองมองให้ลึกขึ้น ตรวจสุขภาพภายในว่า เรามีปัญหาอะไรที่อะไรที่ซับซ้อนเกินไปกว่า ความถนัดหรือไม่ แล้วค่อยมาแก้ไขปัญหาภายนอกกัน แก้ได้ค่ะ ไม่ได้เกินความสามารถหรอก ตั้งจิตเตือนตัวเองให้หัดใช้งานในข้างที่ไม่เคยใช้บ้าง ออกกำลังกายแบบที่เคยเขียนไว้แล้ว ตามลิ้งค์ที่ให้ไว้ข้างบน
.
ว่าแล้วก็บังคับให้กลับไปอ่านเรื่องที่เคยเขียนไว้ ว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ให้ข้างที่อ่อนแอ เข้มแข็งขึ้นมาได้เท่าเทียมกัน
.
คนอ่านเพจนี้เนี่ยรักการอ่านอยู่แล้วเนอะ ใช่ไม๊คะ

Ref: https://www.facebook.com/Befiteatwell/posts/922516547860932

LOVETT BROTHER RELATIONSHIP OF THE SPINE by Charles L. Blum.

Lovett R.W., ‘Lateral Curvature of the Spine and Round Shoulders’, P. Blakiston’s Son & Co.: Philadelphia, PA, 1913: 1-192.

Walther, D.S., ‘Applied Kinesiology: Volume I, Basic Procedures and Muscle Testing’, Systems DC, Pueblo, CO, 1981: 67.

DeJarnette, M.B., ‘Sacro Occipital Technique Convention Notes 1965 : Part Two’, Nebraska City, NB, 1965: 51-69

กล้ามเนื้อไม่เท่ากัน (Muscle Imbalances)

เกิดขึ้นได้กับทุกคนค่ะ จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
.
สาเหตุ
.
มีหลากหลายค่ะ อาจจะเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อโดยตรง (เทรนเนอร์ช่วยท่านได้) หรือความผิดปกติของระบบประสาท (ต้องปรึกษาหมอค่ะ) ก็เป็นได้ วันนี้จะขอพูดเฉพาะแบบแรกในขอบเขตของตัวเองนะคะ
.
สิ่งที่ตามมาหลังจากเกิดความไม่สัมพันธ์กันของการทำงานของกล้ามเนื้อ ก็คือ posture หรือการทรงตัวที่บิดเบี้ยว ความผิดปกติของการเคลื่อนไหว (บางทีใช้เวลานานกว่าจะรู้) อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อเป็นต้น
.
ความไม่สมดุลย์ของกล้ามเนื้อ จะส่งผลให้ร่างกายเกิดการปรับเปลี่ยนให้กล้ามเนื้อบางส่วนมาทำงานแทน
.
นอกเหนือจากสาเหตุจากการบาดเจ็บแล้ว การที่กล้ามเนื้อไม่สมดุลย์ที่เกิดจากกล้ามเนื้อโดยตรงนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมาก จากการทำกิจกรรมประจำวัน
.
เช่น นักวิ่งที่วิ่งรอบลู่ทางเดียว ไม่เคยเปลี่ยนทิศทางขาข้างนึงก็อาจจะแข็งแรง บาดเจ็บ หรือตึงมากกว่าอีกข้างนึง
.
หรือเวลาที่เราบาดเจ็บที่อวัยวะข้างนึง กล้ามเนื้อใกล้เคียง หรือกล้ามเนื้อด้านตรงข้าม ก็จะพยายามช่วย (compensate) โดยที่เราอาจจะรู้ หรือไม่รู้ตัวก็ได้
.
นานๆเข้า กล้ามเนื้อข้างที่เจ็บก็จะเกิดอาการอ่อนแอ ยืดยาว (คือไม่ได้เกร็ง หรือ contract นานเกิน ระบบการควบคุมต่ำลง) ส่วนข้างที่กล้ามเนื้อด้านตรงข้าม หรือกล้ามเนื้อใกล้เคียง ก็จะเกิดอาการตึง หดสั้น เพราะเกร็งหรือ contract บ่อยเกินไป และ overused
.
กล้ามข้างหนึ่ง ก็อาจจะใหญ่กว่าอีกข้างนึงได้ด้วยส่องกระจกด่วน
.
มีคนที่เทรนให้คนนึงนะ เคยแข่ง Tour de France เป็นนักปั่นชาวอังกฤษ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ต้องผ่าตัดสะโพกข้างนึง ตอนนี้เนี่ยมีอาการสะโพกเบี้ยว แต่ยังปั่นจักรยานเดินทางอยู่เป็นปี เหมือนคนปกติทุกอย่าง ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร จนกระทั่งมาลองวิ่งดู ปรากฏว่าไม่สามารถวิ่งได้เลยนะคะ วิ่งได้ไม่ถึง 50 เมตร แล้วขาอ่อนลงไปกองเลย
.
ที่เล่าให้ฟัง ก็เพราะว่ามันเกิดได้นะคะ แม้แต่กับคนที่เรียกว่า ฟิตมาทั้งชีวิต อย่าชะล่าใจ
.
ปรึกษาคุณหมอให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้เกิดจาก ความผิดปกติของระบบประสาท และเมื่อคุณหมออนุญาตให้เริ่มออกกำลังกายแล้ว สิ่งที่ควรจะทำก็คือ
.
1. ออกกำลังกายโดยใช้ ดัมเบลล์ (unilateral exercises)
.
ถ้ากล้ามเนื้อข้างนึงแข็งแรงกว่าอีกข้างนึง เวลาเล่นเครื่อง หรือยกบาร์เบลล์ ข้างที่แข็งแรงกว่าจะช่วยและออกแรงกว่าเสมอ
.
สมมติว่า ทำท่า barbell curl แล้วแขนขวาเราแข็งแรงกว่า แขนขวาก็จะเป็นตัวยกซะส่วนใหญ่ แทนที่สองข้างจะออกแรงเท่ากัน
.
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ และถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้นะคะบางที (เหมือนนักปั่นที่ชะล่าใจว่า ปั่นจักรยานได้วันละหลายกิโลเมตรคงหายแล้วปรากฎว่า ใช้ขาข้างเดียวปั่นมาตลอด มาวิ่งแล้ววิ่งไม่ได้ อย่างที่เล่า)
.
ทางแก้ก็คือ ออกกำลังกายแบบ ทีละข้าง (unilateral) คือ สองข้างต่างทำงานแยกกัน เช่น แทนที่จะทำ squats หรือ leg presses ก็ทำ single leg presses (ทำทีละข้าง) หรือ split squats เป็นต้น ลองหาที่เป็น ตัวเลือกหรือ alternative ดูนะคะ
.
2. เริ่มออกกำลังกายด้านที่อ่อนแอกว่าเสมอ
.
ให้ด้านที่อ่อนแอกว่ากำหนดว่าเราจะออกน้ำหนักเท่าไหร่ กี่ rep กี่เซ็ต
.
อย่างเช่น เราทำ leg press ขาข้างที่อ่อนแอกว่า ทำได้ 50kg 8 reps เราก็ทำขาข้างขวา 50kg. 8 reps เหมือนกัน
.
ออกกำลังกายลักษณะนี้จนกว่า กล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้นเท่าเทียมกัน แล้วค่อยเริ่มออกกำลังกายแบบสมดุลย์ 2 ข้าง (bilateral)
.
อย่างนี้เพื่อให้ข้างที่อ่อนแอ สามารถไล่ตามทันข้างทึ่แข็งแรง ถ้าเป็นไปได้ และอยากได้ผลเร็ว ควรจะออกข้างที่อ่อนแอกว่า เป็นสองเท่าของจำนวนเซ็ตที่จะทำ อาทิตย์ละอย่างน้อย 2-3 ครั้งนะคะ
.
4. แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
.
ถ้าเราทำทุกอย่างแล้ว แต่ไม่มีพัฒนาการ ก็อาจจะเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท
.
หรือเกิดจากกิจกรรมประจำวัน เพราะเราใช้แต่ข้างที่ถนัดไงคะ ไม่ว่าจะถือถุงช้อปปิ้ง ไขกุญแจบ้าน ลาก จูง ดึง ทุกอย่าง ทำมาเป็นเวลานาน ก็เกิดอาการอย่างนี้ได้นะคะ
.
ไม่ใช่แค่นี้นะคะ ถ้าเราใช้เฉพาะข้างที่ถนัดอย่างเดียว กระดูกสันหลังก็อาจจะเบี้ยวได้ค่ะ ถ้าทำเป็นเวลานานๆ
.
หรือเกิดจากการที่ข้างนึงยืดหยุ่นกว่าอีกข้างนึง (flexibility) อาจจะเป็นข้างที่เราชอบนั่งไขว่ห้าง การนั่งโต๊ะ จอคอมพิวเตอร์อยู่ในระยะไม่เหมาะสมก็ทำให้เกิดจุดเจ็บกล้ามเนื้อเรื้อรัง (trigger point) ก็จะทำให้ range of motion ของข้างนึงดีกว่าอีกข้างนึง เวลาออกกำลังกาย กล้ามข้างที่ range of motion ดีก็จะใหญ่กว่า เป็นธรรมดา
.
บอกแล้วว่า range of motion สำคัญ เห็นมะ
.
กรณีนี้การยืดเหยียด และการอุ่นเครื่อง อุ่นกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย การนวดจุด trigger point จึงจำเป็นค่ะ
.
Dynamic warm up
.
หัวไหล่และสะโพกเป็นข้อต่อแบบ หัวและเบ้า (ball and socket joint) ซึ่งเป็นส่วนที่ข้อต่อสามารถเคลื่อนไหว (mobile) ได้มากที่สุดแล้วในร่างกาย
.
ดังนั้นจึงควรทำ dynamic warm up โดยเฉพาะหัวไหล่ ก่อนออกกำลังกายช่วงบน และ ทำ dynamic stretch ที่ hamstrings ก่อนออกกำลังกายขาทุกครั้งค่ะ
.
.
Corrective exercises
.
ท่าออกกำลังกายที่ช่วยเรื่อง muscle imbalances สำหรับคนทั่วไป ที่มีปัญหาในเรื่อง posture ที่น่าสนใจก็มีท่าดังต่อไปนี้นะคะ
.
Seated Row
.
จะช่วยสร้างกล้ามบนหลังส่วนบน เพื่อที่จะช่วย
counteract หรือ ตอบโต้กล้ามเนื้อหน้าอก ก็จะช่วยให้เราอกผาย ไหล่ไม่ห่อ
.
Heel Taps
.
ท่านี้จะช่วยกล้ามเนื้อหน้าแข้ง(tibialis posterior)ที่คนมักจะละเลย กล้ามเนื้อส่วนนี้อ่อนแอกว่ากล้ามเนื้อน่อง (anterior tibialis) การบริหารกล้ามเนื้อแข้งให้ทำงานควบคู่และแข็งแรงเท่าเทียมกับกล้ามเนื้อน่อง จึงจะช่วยมากในการเดิน การใส่รองเท้าส้นสูง ช่วยนักวิ่งไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเช่น shin splint เป็นต้น
.
Single-Leg Deadlift
.
ท่านี้จะช่วยกล้ามเนื้อสะโพก (glutes) และแก้มก้น (piriformis) ให้ทำงานมากขึ้น
.
กล้ามเนื้อหน้าขา (quads) และ กล้ามเนื้อหลังต้นขา (hamstrings) ส่วนใหญ่จะแข็งแรงเกินไป และ บางครั้งมาแย่ง การทำงานของกล้ามเนื้อ glutes and piriformis ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้อ่อนแอ และเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาปวดหลังตอนล่าง
.
Walking Lunge with Twist
.
ท่านี้จะช่วยต้นขาส่วนล่าง ตรงเหนือหัวเข่า (knee cap) ที่มักจะอ่อนแอกว่ากล้ามเนื้อหน้าขาส่วนบน(quads) สาเหตุที่เราเจ็บเข่า บางครั้งก็เพราะกล้ามเนื้อต้นขาส่วนล่างไม่แข็งแรงเพียงพอ และถูกแย่งงานโดยต้นขาส่วนบนโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีก็สังเกตยาก จนกระทั่งเกิดปัญหาหรือ บาดเจ็บขึ้นมาแล้ว
.
ท่านี้จะช่วยปกป้องหัวเข่าให้กระชับ เข้าที่ค่ะ
.
Bridge with Leg Kicks
.
ท่านี้จะช่วยสะโพก pelvic และหลังตอนล่างให้ได้ทำงาน (activate) บางทีเราก็มัวแต่สนใจกล้ามเนื้อหน้าท้อง จนลืมกล้ามเนื้อหลังช่วงล่างไป ท่านี้จะช่วยให้ กล้ามเนื้อ core สมดุลย์ทั้งด้านหน้าและหลังค่ะ
.
Sumo Deadlift
.
เชื่อรึเปล่าว่า ไม่มีท่าออกกำลังกายท่าไหนที่ช่วยปกป้องหลังเรา เท่าท่านี้แล้ว เอางี้นะคะ ตอนที่เรียนภาคปฎิบัติในยิม ถ้่ใครหยิบอะไรก็ตามจากพื้น ไม่ใช่เฉพาะเวทนะคะ สิ่งของอะไรก็ตาม ถ้าไม่หยิบท่า deadlift นี่ต้องหยิบใหม่นะคะ ถ้าครูเห็น
.
ท่านี้เป็นท่าที่เรียกว่า functional training ท่านึงค่ะ จะหยิบจับอะไรจากพื้น ควรทำท่านี้
.
ท่าsumo deadlift เป็นท่าที่เรียกว่าเป็น primitive move มากกว่าท่า deadlift แบบขาชิด ถ้าเราทำให้เป็นนิสัย ก็จะช่วยในกิจกรรมประจำวันได้มากขึ้นค่ะ ป้องกันการก้มแบบผิดวิธี และใช้กล้ามเนื้อหลังแบบผิดท่าก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ค่ะ
.
Psoas/hip flexor stretch
.
ไม่มีวันไหนที่ไม่เจอคนที่มีปัญหาเรื่อง hip flexor เลยค่ะ ส่วนใหญ่เกิดจาก คนกลุ่มที่ทำงานนั่งโต๊ะ (office syndrome)
.
กล้ามเนื้อสะโพกกลุ่ม psoas hip flexor เป็นกล้ามเนื้อที่มีส่วนอย่างมากที่ posture หรือเวลาที่ท่วงท่าการทรงตัวเรามีปัญหา
.
ส่วนใหญ่ กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ จะเกิดการทำงานแบบไวเกินไป (hyperactive) และไปดึงกล้ามเนื้อหลังตอนล่างให้ยืดออกมามากเกิน ทำให้เราปวดหลังตอนล่างได้ค่ะ
.
ท่า corrective exercises เหล่านี้ เหมาะกับคนส่วนใหญ่ที่มักจะมีปัญหา muscle imbalances จากการทำกิจกรรมประจำวัน หรือ office syndrome นะคะ
.
ไม่เหมาะกับคนที่ปัญหา muscle imbalances ที่มาจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากนี้ค่ะ

Ref : Tidy’s physiotherapist – Alan chamberlain, Wendy Munro and Alec Rickard

Assessment and Treatment of Muscle Imbalance:The Janda Approach. Phil Page , Clare Frank